เรื่องนี้ต้องการกล่าวถึงหน่วยการวัดและเครื่องมือวัดที่นอกเหนือจากการ “ชั่ง” และ “ตวง” ที่กล่าวมาแล้ว (ความจริงการชั่งคือการวัดมวลหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าน้ำหนัก ส่วนการตวงคือการวัดปริมาตรนั่นเอง)
ในการวัดปริมาณ (ปริมาณทางฟิสิกส์หรือแปลเป็นไทยว่าปริมาณทางกายภาพ) มีอยู่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม แต่สำหรับการวัดพื้นฐานที่มีมาไม่ว่าชาติใดข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเริ่ม
จากการวัดระยะทาง น้ำหนัก ปริมาตร และเวลาเพราะเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์มากที่สุด
๑. วิวัฒนาการของหน่วยการวัด๑
หน่วยและระบบการวัดมีวิวัฒนาการดังนี้
๑. ระบบอิมพีเรียล (Imperial System) : หน่วยอังกฤษ (English Units หรือ Imperial Units) เริ่มจากหน่วยในการวัดระยะทาง – น้ำหนัก – เวลา (ฟุต – ปอนด์ – วินาที) หลังจากนั้นจึงมีหน่วยตัน แกลลอน ไมล์และอื่นๆตามมา
๒. ระบบเมตริก(Metric System) : หน่วยเมตริก เป็นหน่วยที่ใช้เลขทศนิยมเป็นฐานในการบอกค่าหน่วยความยาว (เมตร) และมวล (กิโลกรัม) ใช้หน่วยไม่มากเหมือนกับของอังกฤษ (หน่วยระยะของอังกฤษจะมี ฟุต นิ้ว หลา และอื่นๆ) หน่วยเมตริกใช้วิธีการเลื่อนทศนิยม เช่น มิลลิเมตร (๑/๑,๐๐๐ เมตร) กิโลเมตร (๑,๐๐๐ เมตร) เป็นต้น
๓. ระบบหน่วยมาตรฐานนานาชาติ (International System of Units)เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในปัจจุบันนี้ พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๖๐ จากหน่วย MKS (เมตร – กิโลกรัม – วินาที) แต่มีหน่วยอุณหภูมิ (คือ เคลวิน) เพิ่มเข้ามาอีกเป็น ๔ หน่วยพื้นฐานสำหรับการวัดปริมาณฟิสิกส์พื้นฐาน
ในที่นี้จะยกตัวอย่างหน่วยการวัดปริมาณเพียง ๒ อย่าง คือ หน่วยวัดระยะและหน่วยวัดพื้นที่
๒. หน่วยวัดระยะ
หน่วยการวัดระยะของไทยในอดีต๒
หน่วยวัดระยะ/ความยาวของไทยพัฒนาการมาจากการใช้สิ่งแวดล้อมและร่างกายในการวัด เช่น
๘ ปรมาณู เป็น ๑ อณู
๕ อณู เป็น ๑ ธุลี
๘ ธุลี เป็น ๑ เส้นผม
๘ เส้นผม เป็น ๑ ไข่เหา
๘ ไข่เหา เป็น ๑ ตัวเหา
๘ ตัวเหา เป็น ๑ เม็ดข้าว
๘ เม็ดข้าว เป็น ๑ นิ้ว
๑๒ นิ้ว เป็น ๑ คืบ
๒ คืบ เป็น ๑ ศอก
๔ ศอก เป็น ๑ วา
๒๐ วา เป็น ๑ เส้น
๔๐๐ เส้น เป็น ๑ โยชน์
เปรียบเทียบหน่วยวัดระยะของไทยกับหน่วยต่างๆ
๒ ศอก ประมาณ ๑ เมตร
๒๔ เส้น ประมาณ ๑ กิโลเมตร
๔๐ เส้น ประมาณ ๑ ไมล์ (๑.๖ กม.)
หน่วยการวัดระยะตามมาตรฐานอังกฤษและเมตริก๓
หน่วยเมตริก (ไม่ใช่หน่วยเอสไอ)
| |||||||||
1 เมตร
|
≈
|
1.0936
|
1 หลา
|
≡
|
0.9144
|
เมตร
| |||
1 เมตร
|
≈
|
39.37
|
1 นิ้ว
|
≡
|
0.0254
|
เมตร
| |||
1เซนติเมตร
|
≈
|
0.3937
|
1 นิ้ว
|
≡
|
2.54
|
เซนติเมตร
| |||
≈
|
0.03937
|
1 นิ้ว
|
≡
|
25.4
|
มิลลิเมตร
| ||||
1 เมตร
|
≡
|
1 Ångström
|
≡
|
1×10−10
|
เมตร
| ||||
1 นาโนเมตร
|
≡
|
10
|
Ångström
|
1 Ångström
|
≡
|
100
|
พิโกเมตร
| ||
(Ångström อ่านว่าแองสตรอม)
ขยายความหน่วยวัดแบบอังกฤษ
๑ นิ้ว = ๒.๕๔ เซนติเมตร
๑ ฟุต = ๑๒ นิ้ว
๑ หลา = ๓ ฟุต
๑ ไมล์ = ๑,๗๖๐ หลา
๓. หน่วยวัดพื้นที่
หน่วยวัดพื้นที่ของไทยและเมตริก
๑ งาน = ๑๐๐ ตารางวา = ๔๐๐ ตารางเมตร
๔ งาน = ๑ ไร่ = ๔๐๐ ตารางวา = ๑,๖๐๐ ตารางเมตร = ๐.๔ เอเคอร์
๑ ตร.กิโลเมตร = ๖๒๕ ไร่
หน่วยวัดพื้นที่ของเมตริก
๑ อาร์ (Are) = ๑๐๐ ตร.เมตร
๑๐๐ อาร์ = ๑๐๐ แฮคทาร์ (Hectare)
๑ เอเคอร์ (Acre) = ๔,๘๔๐ ตร.หลา
วิธีนับปกติสังขยา (Cardinals) ตามภาษาบาลี คือ เมื่อตัวเลขหรือการนับมีจำนวนมากขึ้นก็จะนำจำนวนตัวเลขมาต่อกันโดยใช้ศัพท์คือ “อุตตร”และ “อธิก”เป็นตัวเชื่อม ที่สำคัญการนับหรือที่ภาษาบาลีเรียกว่าสังขยานั้นใช้ตัวอักษรแทนตัวเลขเช่นเลข 1 ภาษาบาลีใช้คำว่า "เอก"มีดังนี้
เอก ๑
ทฺวิ ๒
ติ ๓
จตุ ๔
ปญฺจ ๕
ฉ ๖
สตฺต ๗
อฏฺ ๘
นว ๙
ทส ๑๐
สตํ ๑๐๐
สหสฺสํ ๑,๐๐๐
ทสสหสฺสํ ๑๐,๐๐๐
สตสหสฺสํ, ลกฺขํ ๑๐๐,๐๐๐
ทสสตสหสฺสํ ๑,๐๐๐,๐๐๐
โกฏิ โกฏิ
ทฺวิ ๒
ติ ๓
จตุ ๔
ปญฺจ ๕
ฉ ๖
สตฺต ๗
อฏฺ ๘
นว ๙
ทส ๑๐
สตํ ๑๐๐
สหสฺสํ ๑,๐๐๐
ทสสหสฺสํ ๑๐,๐๐๐
สตสหสฺสํ, ลกฺขํ ๑๐๐,๐๐๐
ทสสตสหสฺสํ ๑,๐๐๐,๐๐๐
โกฏิ โกฏิ
วิธีการนับตัวเลขดังกล่าวนี้ใช้กับการนับเวลา เช่น
๑๐ ปี เรียกว่า ๑ ทศวรรษ (Decade)
๑๐๐ ปี เรียกว่า ๑ ศตวรรษ (Century)
๑,๐๐๐ ปี = ๑ สหัสวรรษ (Millennium)
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงความรู้อันน้อยนิดเกี่ยวกับเรื่องของการวัด เพราะการวัดตัวแปรต่างๆที่กล่าวมา มีเพียงแค่เรื่องของระยะและพื้นที่รวมถึงวิธีการนับเวลาโดยการนำภาษาบาลีมาเรียก ทั้งนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงหน่วยและการวัดตัวแปรอื่นๆที่มีในโลกซึ่งมนุษย์สามารถวัดได้ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความเร็ว พลังงาน ความหนาแน่น ความเข้มของกรด-ด่าง ฯลฯ เป็นต้น
จากเรื่องนี้อาจจะกล่าวได้ว่าไม่ว่าเราจะวัดสิ่งต่างๆได้ละเอียดเพียงใดก็เป็นเพียงทางกายภาพและไม่ใช่ของจริงแท้ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ขึ้นอยู่กับนิยามที่ผู้สร้างตั้งขึ้น ในทางกลับกัน แม้ว่ามนุษย์จะสร้างเครื่องมือวัดที่สามารถวัดค่าต่างๆได้ละเอียดและเที่ยงตรงมากขึ้นเท่าใด แต่หากจิตใจของผู้สร้างและผู้ใช้หยาบลงและขาดความเที่ยงตรงทางคุณธรรมแล้วก็ไร้ความหมาย และสุดท้ายเราไม่ต้องทำการวัดสิ่งใด ให้ลองสังเกตมิติของตัวเรา มิติของตัวเราเองจะมีขนาดเพียง “กว้างศอก ยาววา หนาคืบ” เท่านั้นเองจริงๆครับ ๕๕๕
(ปล. สำหรับผม “สะสมเพื่อว่างเปล่า” ครับ)
ขอขอบคุณ
๑ http://en.wikipedia.org/wiki/Measurement
๒ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94
๓ http://en.wikipedia.org/wiki/Metre
๔ กรมการศาสนา.พระไตรปิฏกภาษาบาลีฉบับสยามรัฐ, เล่มที่ 7.กรุงเทพ ฯ : กรมการศาสนา, 2525.
พระพุทธโฆสาจารย์, สมนฺตปาสาทิกา, พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548.
พระมหานิยม อุตฺตโม. หลักสูตรย่อบาลีไวยากรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง, 2523.
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. บาลีไวยากรณ์(สังขยา). พิมพ์ครั้งที่ 48, กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย,2547. อ้างจาก http://cybervanaram.net/index.php?option=com_content&view= article&id=217:2010-07-30-09-31-21&catid=11:2010-06-17-02-44-14&Itemid=23
พระพุทธโฆสาจารย์, สมนฺตปาสาทิกา, พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2548.
พระมหานิยม อุตฺตโม. หลักสูตรย่อบาลีไวยากรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง, 2523.
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. บาลีไวยากรณ์(สังขยา). พิมพ์ครั้งที่ 48, กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย,2547. อ้างจาก http://cybervanaram.net/index.php?option=com_content&view= article&id=217:2010-07-30-09-31-21&catid=11:2010-06-17-02-44-14&Itemid=23
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น